มีไอเดียเยอะแยะมากมาย แต่ไม่เริ่มสักทีเพราะคนหวังดีเยอะเหลือเกิน

          เวลามีไอเดียดีๆ แล้วลองพูดคุยปรึกษาหลายๆคนแล้ว เคยสับสนกันบ้างมั้ยคะว่าจะฟังใครดี? เพราะแต่ละคนก็หวังดีกับเราทั้งนั้นเลย

          วันนี้เราจะแนะนำวิธีแยกคำแนะนำที่เราใช้อยู่เป็นประจำและได้ผลดีซะด้วย จะเลือกอ่านทั้งบทความเพื่ออรรถรส หรือเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจก็คลิกที่ด้านล่างได้เลย

Jigapoo home logo

มีไอเดียแล้ว ปรึกษาคนอื่นดีมั้ย?

ขึ้นชื่อว่าไอเดียก็เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ที่ต้องมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าเราไม่ได้ถามใครก่อนเลยก็ต้องมั่นใจในระดับเซียนหรือไม่ก็ต้องมีประสบการณ์ที่โชกโชนพอสมควร เพราะการยืนหยัดเพื่อไอเดียที่เราคิดเองคนเดียวโดยไม่ปรึกษาใครเนี่ย มันไม่ง่ายเลยจริงๆนะคะ

ที่บอกว่าไม่ง่าย ก็ไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องปรึกษาเท่านั้น แต่ถ้าเกิดมีคนทักบางอย่างขึ้นมาก็ต้องมีเขวกันบ้างแน่นอน เพราะงั้นเราแนะนำให้ปรึกษาใครสักคนค่ะ เลือกคนที่เราปรึกษาแล้วสบายใจที่สุด เวลาเค้าแนะนำเราขึ้นมาจริงๆจะได้ไม่รู้สึกต่อต้านมากเกินไป

และควรปรึกษามากกว่า 1 คนด้วยค่ะ!

เพราะการปรึกษาคนๆเดียว จะทำให้เราเรียนรู้ผ่านมุมมองที่เล็กเกินไป ควรปรึกษาหลายๆคน ทางที่ดีควรเป็นคนที่มีบางอย่างต่างกันด้วย เพราะการปรึกษาคนที่มีความคล้ายๆกันมากๆ เราอาจจะไม่ได้เห็นมุมมองใหม่ๆเลยก็ได้ (เทียบกับคนที่เราปรึกษานะคะ ไม่ได้เทียบกับตัวเรา)

ได้รับคำแนะนำที่หลากหลายมากเลย ฟังใครดี?

เมื่อลองปรึกษาหลายๆคนดูแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องได้รับคำแนะนำที่หลากหลายแน่นอน แต่แหม คำแนะนำเยอะขนาดนั้น เราจะเอามาปรับใช้ยังไงไหวล่ะ มีกฎข้อนึงที่เราปฏิบัติตามอยู่เสมอๆ ซึ่งเราตั้งกฎนี้ด้วยตัวเอง จากประสบการณ์ของตัวเอง

“จงอย่าเลือกฟังคำแนะนำจากความสัมพันธ์เด็ดขาด”

Q: ทำไมตั้งกฎแบบนี้น่ะหรอคะ?

A: เพราะมีประสบการณ์มาแล้วไงคะ 555

เวลาที่เราคุยกับใครสักคน เคยสังเกตตัวเองกันบ้างมั้ยคะว่าฟังเค้าด้วยอารมณ์ หรือ เหตุผล เอาจริงๆมันไม่ง่ายนะคะที่ต้องมานั่งเดาตัวเองว่าใช้อารมณ์หรือเหตุผลอยู่ โดยเฉพาะในสภาวะที่เรายังปกติไม่ได้มีอคติกับคนพูดเท่าไหร่ หรือเวลาที่คนพูดน้ำเสียงเค้านุ่ม ชวนเคลิ้ม เลยรู้สึกว่าคนนี้ต้องแนะนำดีแน่ๆ เพราะเรื่องการพูดมันเป็นเรื่องของจิตวิทยาค่ะ

ถ้าประสบการณ์เรายังอ่อนนัก อย่าตัดสินใจฟังเพราะความสัมพันธ์ของเรากับคนพูดเด็ดขาด แต่ให้สรุปเฉพาะเนื้อความเพื่อเป็นการทวนสิ่งที่เค้าพูดมา และทวนความเข้าใจของตัวเองไปด้วยว่า เข้าใจตรงกับสารที่เค้าสื่อมากน้อยแค่ไหน

ทีนี้ต่อให้เป็นคนที่เราชอบมากๆ ฟังแล้วเคลิ้มขนาดไหนก็สามารถเลือกหยิบเอาเฉพาะคำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับเราจริงๆมาใช้ได้ดีแน่นอน

วิธีแยกคำแนะนำให้เป็น 2 แบบ

          Noise หรือ Feedback อันดับแรกต้องแยกให้ออกก่อนเลย เพราะ 2 คำนี้ต่างกันสุดๆ เดี๋ยวเราจะแนะนำให้ว่ามันต่างกันยังไง
  1. Noise ถ้าแปลตรงตัวก็คือการรบกวน แต่ในที่นี้หมายถึงคำแนะนำจากคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของไอเดียเรา (ถ้าเป็นไอเดียธุรกิจก็คือไม่ใช่กลุ่มลูกค้าของเรา)
  2. Feedback คือคำแนะนำจากคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของไอเดียเรา (ถ้าเป็นไอเดียธุรกิจก็คือกลุ่มลูกค้าของเรา)

วิธีใช้เครื่องมือนี้ คือ หลังจากที่ได้คำแนะนำมาแล้วเราต้องคัดเอาเฉพาะเนื้อๆมาวิเคราะห์ว่า คนพูดเป็นกลุ่มลูกค้าของเรารึเปล่า ซึ่งการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้ามีได้หลายวิธี หลักๆให้นำเนื้อหาที่เค้าพูดรวมกับพฤติกรรมต่างๆของเค้าที่เรารู้มารวมกัน แล้วเปรียบเทียบกับไอเดียของเราว่าเค้าคือกลุ่มเป้าหมายของเราหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น

  เรามีไอเดียธุรกิจ อยากขายน้ำชงสีๆเลยเอาตัวอย่างให้หลายๆคนชิม คนแรกที่เราคุยด้วยบอกว่าหวานเกินไป อีกคนบอกว่าจืดเกินไป

ทีนี้ต้องมาดูพฤติกรรมส่วนตัวของเค้าแล้วว่ามีอะไรต่างกัน คนแรกอาจจะไม่กินหวานเลยเป็นปกติ พอเจอความหวานระดับปกติต่อมรับรสของเค้าก็เลยทำงานหนักกว่าคนทั่วไป จึงบอกว่ามันหวานไป

ส่วนคนที่ 2 พฤติกรรมปกติอาจจะชอบกินหวานอยู่แล้ว จึงแนะนำตามรสชาติที่ตัวเองกินบ่อยๆ ที่นี้เราต้องแยกด้วยตัวเองแล้วว่าใครคือกลุ่มลูกค้าของเรา โดยต้องดูที่รายละเอียดไอเดียเราให้ดี เพราะถ้าบอกแค่ว่า “ขายน้ำชงสีๆ” มันสั้นเกินไปสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเจ้าของไอเดียต้องรู้เยอะกว่านั้นแน่นอนว่าต้องการขายให้คนกินหวานปกติ หรือคนที่ปกติไม่กินหวานเลย

Noise หรือ Feedback เอาอะไรมาใช้ดี?

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า Noise และ Feedback ต่างกันอย่างไร ก็ต้องเลือกเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับไอเดียเราให้ได้มากที่สุด ซึ่งเราแนะนำว่าอันดับแรกเราต้องให้ความสำคัญกับ Feedback ก่อน เพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำเอาไอเดียไปต่อยอดให้ใช้ได้จริง ซึ่งคำแนะนำจากกลุ่มเป้าหมายของเราสำคัญที่สุดในตอนเริ่มต้น

แต่ถ้าหากว่าเราได้เริ่มต้นไปบางส่วนแล้วเกิดไอเดียอยากจะขยายกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ควรเริ่มให้ความสำคัญกับคำแนะนำที่เคยเป็น Noise มาก่อน (ต้องไม่ใช่ Noise ในปัจจุบัน) เพราะคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายในตอนเริ่มต้น อาจจะกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายในปัจจุบันก็ได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตามพฤติกรรมของผู้คนในสังคม ดังนั้นไอเดียของเราจำเป็นต้องทันสมัยอยู่ตลอดเวลา คนที่เคยไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเราในอดีตอาจจะกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายเราในปัจจุบันก็ได้

ในเรื่องรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายบทความนี้เราจะไม่ลงลึกนะคะ ไว้ในอนาคตที่เราเขียนเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายแล้วจะมาอัพเดทให้อีกครั้งค่ะ

บทเรียนจากเราเอง

เรามีคติประจำใจตอนมีไอเดียแรกๆ แล้วปรึกษาหลายๆคน มีทั้งคนที่เห็นด้วย “เห้ย ดีมาก ทำเลย สนับสนุน” และไม่เห็นด้วย “จะดีหรอ มันเสี่ยงไปรึเปล่า คิดอีกทีดีมั้ย” คติของเราคือ

“ตั้งหลักให้น้อย เริ่มต้นให้เร็ว เพราะการไปต่อมันยากกว่าการเริ่มต้น”

แปลว่ายิ่งเริ่มต้นช้า เรายิ่งไปต่อได้ช้า เพราะจุดเริ่มต้นที่คิดว่ายากแล้ว จุดไปต่อนั้นยากยิ่งกว่า…

แต่รับรองรองว่าสนุก ท้าทาย และจะได้พบเจอสิ่งพิเศษอีกมากมายระหว่างทางแน่นอน

สรุป

มีไอเดียแล้ว ปรึกษาคนอื่นดีมั้ย
          แนะนำให้ปรึกษา
ได้รับคำแนะนำหลากหลายมากเลย ฟังใครดี
          อย่าเลือกฟังแนะนำจากความสัมพันธ์เด็ดขาด
วิธีแยกคำแนะนำให้เป็น 2 แบบ
          noise และ feedback
Noice หรือ Feedback เอาอะไรมาใช้ดี
          เลือกเอาเฉพาะ feedback มาพัฒนาไอเดียปัจจุบันของเรา
บทเรียนจากเราเอง
          ตั้งหลักให้น้อย เริ่มต้นให้เร็ว เพราะการไปต่อมันยากกว่าการเริ่มต้น